วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

การปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิต



การปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิต

หมายถึง การให้การช่วยเหลือขั้นแรกที่กระทำในทันทีทันใดในสถานที่เกิดเหตุ  โดยใช้เครื่องมือเท่าที่จะหาได้ เพื่อลดอันตรายและป้องกันความพิการของผู้บาดเจ็บ  ก่อนที่จะส่งผู้บาดเจ็บไปหาแพทย์หรือสถานพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่อไป

จุดมุ่งหมายของการปฐมพยาบาล

1. เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไป และพยายามช่วยชีวิตไว้

2. เพื่อลดความรุนแรง ภาวะไม่พึงประสงค์ และป้องกันความพิการ
3. เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและช่วยให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว

การปฐมพยาบาลที่ดี ผู้ช่วยเหลือควรให้การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว นุ่มนวลและคำนึงถึงสภาพด้านจิตใจของผู้บาดเจ็บควบคู่ไปด้วย
การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่มีบาดแผลหมายถึง ภาวะซึ่งมีเลือดออกมาจากหลอดเลือด โดยแบ่งลักษณะของบาดแผลออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.บาดแผลเปิด
เป็นบาดแผลที่มองเห็นได้ว่ามีเลือดออกบริเวณใด
หลอดเลือดแดง  เลือดจะพุ่ง สีแดงสด
หลอดเลือดดำ ไหลรินเป็นทาง สีคล้ำ
2. บาดแผลปิด
เป็นภาวการณ์มีเลือดออกภายในร่างกาย โดยเราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มีอาการ เช่น ไอ อาเจียน อุจจาระ ปัสสาวะออกมาเป็นเลือด

การป้องกันการเจ็บป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุหลักการป้องกันการเจ็บป่วยฉุกเฉิน
1. ป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยหรือเป็นโรค2. ป้องกันมิให้โรคกำเริบ3. หยุดยั้งอาการกำเริบได้ทันที







ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อพบเหตุฉุกเฉิน
1. เมื่อพบเห็นผู้ป่วยหมดสติ ไม่หายใจ ให้เรียกผู้ป่วยดูว่ารู้สึกตัวหรือไม่2. รีบขอความช่วยเหลือจากระบบการแพทย์ฉุกเฉิน3. ฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของศูนย์แจ้งเหตุและสั่งการ4. รีบทำการนวดหัวใจทันที (กรณีหัวใจหยุดเต้น)5. ถ้าพบว่าผู้ป่วยหายใจได้  จัดท่าผู้ป่วยนอนตะแครงหน้าด้านใด ก็ได้ กรณีอุบัติเหตุ จัดท่านอนหงายราบกับพื้น สังเกตุการหายใจเป็นระยะ6. กรณีอุบัติเหตุ ดูการไหลเวียนของเลือด มีแผลบริเวณใดบ้าง

7. ถ้าสามารถประเมินได้ว่า ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวจริงๆ และมีปัญหาเรื่องการหายใจ ให้ช่วยฟื้นคืนชีพก่อน ค่อยดูบาดแผลหรือกระดูกหัก

การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน 
คือ การช่วยชีวิตคนหัวใจหยุดเต้นหรือคนที่หยุดหายใจกะทันหัน โดยไม่ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ ใช้เพียงแรงกดหน้าอกและการผายปอด เพื่อให้หัวใจและระบบหายใจกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งจะได้ผลดี ต้องทำภายใน 4 นาทีหลังผู้ป่วยหยุดหายใจ


CPR ขั้นพื้นฐาน
หลักปฏิบัติเบื้องต้นปลุกเรียกโดยเขย่าตัวเบาๆและถามดังๆว่า คุณเป็นอย่างไรบ้างเมื่อพบว่าหมดสติจริงขอความช่วยเหลือ

การปั๊มหัวใจ
คือการใช้ฝ่ามือกดบนผนังทรวงอกบริเวณกระดูกหน้าอก (sternum)โดยใช้น้ำหนักแรงพอประมาณเพื่อทำให้หัวใจถูกบีบเอาเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย


การนวดหัวใจ
žนั่งคุกเข่าข้างตัวผู้ป่วยระหว่างไหล่และอก แยกเข่าเล็กน้อยโน้มตัวให้แนวไหล่และวางมืออยู่แนวตั้งฉากกับหน้าอกผู้ป่วยการนับจังหวะการนวดหัวใจสม่ำเสมอ โดยนับ หนึ่ง และสองและ…......และสิบ และสิบเอ็ด สิบสอง…......สิบห้าในหนึ่งนาที ให้ได้อัตราชีพจร อย่างน้อย100 ครั้งต่อนาที 










รายชื่อสมาชิกกลุ่ม

1.นางสาวกัญฐิสา  หงษ์ทอง  ม.6/8  เลขที่2
2.นางสาวกัณฐมณี  ทองขัด  ม.6/8  เลขที่3
3.นางสาวทิพยาภา  กลัดเชยดี  ม.6/8  เลขที่ 12
4.นางสาวบุญพิทักษ์  รุ่งกาญจนกุล  ม.6/8  เลขที่17
4.นางสาวพิชญา  นิลวัชราภรณ์  ม.6/8   เลขที่21
5.นายปรเมศร์  เหล่าโรจน์ทวีกุล  ม.6/8  เลขที่43
6.นายปิติภัทร  เกษวิริยะการ  ม.6/8   เลขที่44
7.นายศุภวิชญ์  วานิชสวัสดิ์วิชัย  ม.6/8   เลขที่50








วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นากะ (Naga) กลุ่มชาติพันธุ์ในอินเดียแห่งดินแดนนากะแลนด์



...    แม้จะบอกไปว่านากะแลนด์เป็นดินแดนแห่งความไม่มี ไม่มีปราสาท ราชวังใดๆ 
เทือกเขารึก็ไม่ตระหง่านตาอย่างดินแดนที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลัย
แต่ยอดเขาที่สูงที่สุดในนากะแลนด์คือยอด Saramati สูง ๓,๘๔๑ เมตร ถึงจะท้าทายขาลุย แต่ในแง่ความ(ไม่)ปลอดภัย จึงไม่มีใครนิยมปีน

  “นากาเป็นภาษาพม่า แปลว่า คนที่เจาะรูหู” อากุมตอบพลางชี้ไปที่ใบหูของตัวเอง และบอกว่าชาวนากาในอดีตนิยมเจาะรูหู สวมต่างหูกันทุกคน คำว่า “นากา” (naga) นี้มีคนให้นิยามไว้ต่างๆ กันไป บ้างก็ว่ามาจากภาษาสันสกฤต naga(นาค) บ้างก็ว่ามาจากภาษาฮินดี nanga(เปลือย)ฯลฯ ขณะที่ชาวนากาอย่าง "อากุม" และอีกหลายคนที่ผมได้พบเชื่อว่าเป็นคำที่ชาวพม่าใช้เรียกชนผิวเหลืองกลุ่มหนึ่งที่นิยมสวมต่างหูและอพยพหนีความแห้งแล้งหนาวเย็นจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนลงมาอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของพม่าตามลุ่มน้ำอิรวดี และต่อมาได้อพยพมาอยู่แถบเทือกเขาบริเวณชายแดนอินเดีย-พม่าจนถึงปัจจุบัน ขณะที่มีบางส่วนอพยพลงไปถึงคาบสมุทรมลายูและอินโดนีเซีย เชื่อกันว่าคนกลุ่มนี้คือบรรพบุรุษของชาวนากา นากาเป็นเผ่านักรบ มีชื่อเสียงไม่ต่างจากนักรบของอินเดียนแดง นากาไม่ยอมให้ชนเผ่าใดบุกรุกเข้ามาในดินแดนของพวกเขา ดังนั้นเมื่อจักรวรรดินิยมอังกฤษเข้ามายึดครองอินเดียและพม่าเป็นอาณานิคม และส่งกำลังทหารเข้ามาเพื่อยึดครองดินแดนของพวกนากา จึงถูกต่อต้านอย่างหนักจากบรรดานักรบเผ่าต่างๆ"

            กลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานกึ่งถาวร จะเป็นการพิจารณากลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนเทือกเขาในบริเวณตอนเหนือของประเทศพม่า ไทย ลาว เวียดนาม ในส่วนที่เชื่อมโยงกับตอนใต้ของประเทศจีน เนื่องจากชาวเขาเหล่านี้มีการอพยพโยกย้ายบ่อย จากเทือกเขาหนึ่งไปยังอีกเทือกเขาหนึ่ง การพูดถึงชาวเขาในเอเชียอาคเนย์ จึงจำเป็นต้องรวมภาคใต้ของประเทศจีนเช่นเดียวกับทางด้านตะวันตกด้วย การศึกษาถึงชาวเขาและคนพื้นราบของเอเชียอาคเนย์ต้องรวมอัสสัมในอินเดียด้วยเพราะมีกลุ่มที่พูดภาษาไท/ไตอยู่ นอกจากนี้กลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานกึ่งถาวรในเอเชียอาคเนย์ยังรวมถึงกลุ่มคนในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน กลุ่มแรกคือ กลุ่มชาวเขาบนแผ่นดินใหญ่ และกลุ่มที่สองคือ กลุ่มชาวเขาบนเกาะ 
            กลุ่มชาติพันธุ์บนแผ่นดินใหญ่  การศึกษาเรื่องชาวเขา มีวิธีการแบ่งกลุ่มชาวเขาได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามภาษาพูดและแบ่งตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น  ซึ่งนากะ ก็เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่จัดได้ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์บนแผ่นดินใหญ่นี้ด้วย
            นากะ (Naga) กลุ่มชาติพันธุ์บนแผ่นดินใหญ่ในอินเดีย อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาในประเทศพม่าและรัฐอัสสัมในอินเดีย ซึ่งมีชาวเขาเผ่ากาโร (Garo) ชิน (Chin) และนากะ (Naga) ที่ตั้งแหล่งถิ่นฐานอยู่บริเวณนั้น  มีการพูดภาษาทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman)  มีเชื้อชาติมองโกลอยด์ พวกกาโรตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตอัสสัมที่ระดับความสูงประมาณ ๑,๐๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ประชากรมีอาชีพในการทำไร่ ทำสวนเลื่อนลอย เลี้ยงสัตว์ต่างๆ มีการ จับปลา และหาของในป่าเพื่อยังชีพ





‘นากา’ไม่ใช่ชื่อที่พวกเขาเรียกตัวเอง 


แต่เป็นชื่อที่คนอื่นๆ เรียก ทั้งอังกฤษ พม่า จีน แขกต่างเรียกคนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่แถบดินแดนเทือกเขานากา ดินแดนรอยต่อระหว่างจีน พม่าและอินเดีย


ในภาษาไทย บ้างเขียนทับศัพท์เป็น นาคา หรือ นาค ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นมนุษย์เผ่าที่บูชางูหรือบูชาพญานาคไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนนากาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงูเงี้ยวเขี้ยวตะขอเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นประวัติ ความเชื่อ หรือพิธีกรรม


ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หน้าที่ ๕๗๓ บอกว่า
นาค หรือ นาคา (นาก) น. ชื่อชนเผ่าหนึ่งอยู่บริเวณเทือกเขานาค ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่า มีหลายสาขา เช่น อาโอนาค *กินาค.


บางตำราบอกว่า naga มาจาก คำว่า ‘โนค’ อันเป็นภาษาไทอาหมเดิม รากคำมาจากภาษาสันสกฤตว่า ‘นัค’ อันแปลว่า ภูเขา หรือ ดินแดนที่ไม่มีใครเข้าถึง หรือ ดินแดนที่ไม่มีใครเอาชนะได้


บางตำราก็ว่า naga ในภาษาฮินดีหมายถึงโป๊ เปลือย ซึ่งพ้องกับภาษาอังกฤษคำว่า naked ด้วย ตำรานั้นสรุปเสร็จสรรพว่าเป็นเพราะคนนากาแต่งกายด้วยชุดที่เกือบจะโป๊ สมัยก่อนทั้งชายและหญิงของบางเผ่าจะเปลือยท่อนบน และท่อนล่างก็ดูวาบๆ เย็นๆ โชว์ขายาวด้วยผ้านุ่งคล้ายเตี่ยวของไทยเรา


แต่ความหมายที่คนนากายอมรับได้และมีเหตุผลมากที่สุดคือ นากา มาจากภาษาพม่า


คำว่า นา หมายถึง หู
คำว่า กา หมายถึง เจาะรู หรือ ทำให้เป็นรู


คนพม่าเรียกคนเผ่าที่อาศัยบนภูเขานากาด้านตะวันตก อีกฟากฝั่งแม่น้ำชินวิน ว่า คนที่เจาะหูให้เป็นรู ด้วยการแต่งกายและเครื่องประดับประจำเผ่าแทบทุกเผ่ามักจะมีต่างหูใหญ่ที่ทำให้รูเจาะที่ติ่งหูกว้าง




วันที่ ๑-๕ ธันวาคมของทุกปี
ชาวนากาทุกเผ่าต่างมาร่วมร้องรำทำเพลง แต่งกายตามเผ่าตนในงาน Hornbill Festival

            ในเขตประเทศอินเดีย (รัฐอัสสัม) บังกลาเทศ และพม่า พวกชิน กาโร และนากะ มีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูจากที่ราบลุ่มเมืองมณีปุระในรัฐอัสสัม ชินที่อาศัยอยู่บนเขาติดต่อค้าขายกับเมืองมณีปุระ แต่ชินที่อาศัยอยู่บนพื้นราบค้าขายกับพม่า ได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายหินยานจากพม่า แต่พวกชินมีระบบการมืองการปกครองที่ซับซ้อนกว่าพวกกาโรคล้ายกับคะฉิ่น


น.ส.ณฐพร บัวศรีทอง ม.5/8 เลขที่ 11
น.ส.บุญพิทักษ์ รุ่งกาญจนกุล ม.5/8 เลขที่ 17

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มองโกลอยด์(Mongoloid)

มองโกลอยด์ (อังกฤษ: Mongoloid) เป็น เผ่าพันธุ์ของคนผิวเหลืองผสมดำเล็กน้อย ส่วนใหญ่อาศัยในเอเชียตะวันออก คำว่า มองโกลอยด์ มาจากคำว่า มองโกล มีความหมายว่าเหมือนชาวมองโกล
อันที่จริงแล้ว มองโกลอยด์ ถูกตั้งโดยฝรั่งหรือชนผิวขาว คอเคซอยด์ โดยการมาเยือนให้ฝรั่งเห็นครั้งแรก ที่ตอนจักรวรรดิมองโกลขยายมายังดินแดนยุโรป ในเวลาก่อนหน้านั้น ฝรั่ง แบ่งกลุ่ม คนเป็น 2 กลุ่มเท่านั้น คือ ชนชาติผิวขาว กับ ชนชาติผิวดำ เมื่อฝรั่งเห็นชนชาติมองโกลรุกรานยังดินแดนต่างๆของตน จึงตั้งชื่อพวกนี้ว่า มองโกลอยด์ ตามชื่อจักรวรรดิ เนื่องจากเป็นชาติเดียวที่รุกมายังดินแดนชนผิวขาวได้


  น.ส.กิตติมา  จำปาทอง  ม.5/8 เลขที่ 4

ชาวเขาเผ่า กาโร่



บริเวณเทือกเขาในประเทศพม่าและรัฐอัสสัมในอินเดีย มีชาวเขาเผ่ากาโร (Garo) ชิน (Chin) และนากะ (Naga) ซึ่งพูดภาษาทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman)  มีเชื้อชาติมองโกลอยด์ พวกกาโรตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตอัสสัมที่ระดับความสูงประมาณ ๑,๐๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีอาชีพทำไร่เลื่อนลอย เลี้ยงสัตว์ จับปลา และหาของป่าเพื่อยังชีพ
           ในประเทศพม่ามีชาวเขา ๓-๔ กลุ่ม ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานค่อนข้างถาวรอยู่บนเขา และสามารถผนึกกำลังและรวมตัวกันได้ ถึงขนาดที่รัฐบาลพม่าต้องเกรงกลัวเป็นอย่างมาก กลุ่มที่อยู่ทางด้านตะวันตกมากที่สุดคือพวกชิน ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณเขตแดนพม่าและอัสสัม และในเขตประเทศอินเดีย (รัฐอัสสัม) บังกลาเทศ และพม่า พวกชิน กาโร และนากะ มีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูจากที่ราบลุ่มเมืองมณีปุระในรัฐอัสสัม ชินที่อาศัยอยู่บนเขาติดต่อค้าขายกับเมืองมณีปุระ แต่ชินที่อาศัยอยู่บนพื้นราบค้าขายกับพม่า ได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายหินยานจากพม่า แต่พวกชินมีระบบการมืองการปกครองที่ซับซ้อนกว่าพวกกาโรคล้ายกับคะฉิ่น

นาย พชรพล ผิวเณร ม.5/8 เลขที่46

ชาวเผ่าชิน ในอินเดีย


หากพูดถึงการสักในยุคปัจจุบันแล้วล่ะก็ มักจะเป็นไปเพื่อแฟชั่น หรือความสวยงาม แต่ย้อนไปไม่ถึงร้อยปี ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในประเทศพม่า การสักของหญิงสาวชาวเผ่า "ชิน" ไม่ได้เป็นไปเพื่อความงามอย่างที่นิยมกันในปัจจุบัน แต่การสักของพวกเธอเป็นไปเพื่อการบดบังความงามบนใบหน้าต่างหากเล่า

ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวพื้นถิ่นชนเผ่า "ชิน" ชนเผ่าซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่วัฒนธรรมเก่าแก่ และกลายเป็นจุดขายอย่างหนึ่งแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางล่องตามแม่น้ำเพื่อมาเยี่ยมชมความงามที่มีลมหายใจของที่นี่ ซึ่งก็คือบรรดาหญิงชราแห่งชนเผ่าชินนั่งเอง อย่าเพิ่งสงสัยว่าในความชราวัยนั้น ยังมีความงามใดให้เราชื่นชม เพราะเมื่อสมัยก่อนนั้น หญิงสาวเผ่าชิน ขึ้นชื่อลือเลื่องว่าเป็นสาวผู้มีความงาม งามแตะตาหนุ่มต่างเผ่า และงามมากเสียจนกษัตริย์พม่ามีคำสั่งให้จับตัวสาวงามทั้งหลายไปเป็นภรรยา หรือทาสสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวชินจึงคิดหาทางปกป้องลูกหลานสาว ๆ ของตนเอง ด้วยการให้เด็กสาวอายุระหว่าง 11-15 ปี มาสักเพื่ออำพรางความงามบนใบหน้า กลายเป็นใบหน้าที่มีรอยสักลายพร้อย และอยู่ติดบนใบหน้าไปเยี่ยงนั้น จนเด็กสาวในวันนั้น กลายเป็นหญิงชราเช่นที่เราพบในตอนนี้

และแม้จะเป็นการสักเพื่ออำพรางความงามบนใบหน้า แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวชินก็บอกว่า สมัยก่อนหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านจะไม่ยอมแต่งงานกับหญิงสาวใดที่ไม่มีรอยสักบนใบหน้าเด็ดขาด เพราะพวกเขาเปรียบรอยสักเหล่านั้น ว่าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความงามที่หญิงสาวมี งามมากเสียจนต้องอำพรางเอาไว้นั่นเอง








ลวดลายการสักบนใบหน้าของชนเผ่าชินนั้น ประกอบด้วยเส้นสายลายขนาดที่ลากผ่านทุกบริเวณบนผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก แก้ม จมูก คาง เปลือกตา บริเวณเดียวที่เว้นว่างไว้เห็นจะมีแต่เพียงริมฝีปากเท่านั้น นอกจากนี้ภายในเผ่าชินเองก็ยังแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ อีกมากมาย โดยแต่ละกลุ่มย่อยก็จะมีลวดลายการสักใบหน้าที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้เราสามารถระบุได้ทันทีว่าเป็นหญิงจากเผ่าชินกลุ่มไหน โดยการสังเกตจากลายสักบนใบหน้านั่นเอง

แต่ปัจจุบันนี้ การจะหาดูหญิงเผ่าชินที่มีรอยสักบนใบหน้า เห็นจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักเสียแล้ว เด็กสาวเผ่าชินรุ่นใหม่ ๆ ไม่มีใครอยากสักใบหน้ากันอีกต่อไป เพราะการสักนั้นมีแต่ความเจ็บปวด กว่าจะสักครบทั่วทั้งใบหน้า อาจกินเวลาถึง 2 วัน หลังจากนั้นผู้ถูกสักก็ต้องนอนระบมไปอีกหลายวัน ไม่สามารถขยับใบหน้าหรือแม้แต่กะพริบตาได้ เพราะผิวหนังนั้นบวมจนตึงไปหมดนั่นเอง รวมทั้งตอนนี้ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนจะมาจับตัวพวกเธออีกต่อไป ทั้งรัฐบาลทหารพม่ายังเคยออกกฎห้ามไม่ให้ชนเผ่าต่าง ๆ ทำการสักใบหน้า เพราะเห็นเป็นวัฒนธรรมที่ดูป่าเถื่อนอีกด้วย

เวลายิ่งก้าวเดินไปข้างหน้า ความงามในสายตาคนท้องถิ่นคงยิ่งถดถอยและล้มหายตายจากไปตามวันเวลา แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมใดที่ไม่ได้รับการสานต่อ ก็ย่อมเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่อย่างน้อยตอนนี้ความงามที่ยังมีลมหายใจทั้งหลาย ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ประเทศอินเดียนี้เอง...

น.ส. กิติยา ลี้จินดา ม.5/8 เลขที่ 5

ชาติพันธุ์


ความหมายของชาติพันธุ์


คำว่า "ชาติพันธุ์" และ "ชาติพันธุ์วิทยา" เป็นคำใหม่ในภาษาไทยการทำความเข้าใจเรื่องชาติพันธุ์จำเป็นจะต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับเรื่องเชื้อชาติและสัญชาติ อาจเปรียบเทียบ เชื้อชาติ สัญชาติ และชาติพันธุ์ได้ดังนี้
- เชื้อชาติ
- สัญชาติ
- ชาติพันธุ์

เชื้อชาติ

เชื้อชาติ (race) คือ ลักษณะทางชีวภาพของคน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากลักษณะรูปพรรณ สีผิว เส้นผม และตา การแบ่งกลุ่ม เชื้อชาติ (racial group) มักแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ นิกรอยด์ (Negroid) มองโกลอยด์ (Mongoloid) และคอเคซอยด์ (Caucasoid) ในตอนหลังได้เพิ่มออสตราลอยด์ (Australoid) โพลินีเชียน (Polynesian) ฯลฯ อีกด้วย
การแบ่งแยกกลุ่มคนตามลักษณะทางชีวภาพนี้ มีความสำคัญในสังคมที่สมาชิกในสังคมมาจากบรรพบุรุษที่ต่างกัน และมีสีผิวและรูปพรรณสัณฐานที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น ความแตกต่างระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวดำ ในสังคมที่มีกลุ่มคนที่มีลักษณะทางชีวภาพต่างกันและประวัติความเป็นมาตลอดจนบทบาทในสังคมต่างกัน ความแตกต่างทางชีวภาพอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันได้ แต่ในบางสังคม เช่น สังคมไทย ความแตกต่างทางชีวภาพไม่มีความหมายเท่าใดนัก

สัญชาติ

สัญชาติ (nationality) คือ การเป็นสมาชิกของประเทศใดประเทศหนึ่งตามกฎหมาย โดยที่ลักษณะทางชีวภาพและวัฒนธรรมอาจแตกต่างกันได้ การเป็นสมาชิกของประเทศย่อมหมายถึงการเป็นประชาชนของประเทศนั้น ผู้ที่อพยพมาจากที่อื่นเพื่อมาตั้งถิ่นฐานสามารถโอนสัญชาติมาได้ ผู้ที่เปลี่ยนสัญชาติ คือ ผู้ที่เปลี่ยนฐานะจากการเป็นประชาชนของประเทศหนึ่งมาเป็นประชาชนของอีกประเทศหนึ่ง

ชาติพันธุ์ (ethnicity หรือ ethnos) คือการมีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูดเดียวกัน และเชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษกลุ่มเดียวกัน เช่น ไทย พม่า กะเหรี่ยง จีน ลาว เป็นต้น กลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มวัฒนธรรม มีลักษณะเด่นคือ เป็นกลุ่มคนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน บรรพบุรุษในที่นี้หมายถึงบรรพบุรุษทางสายเลือด ซึ่งมีลักษณะทางชีวภาพและรูปพรรณ (เชื้อชาติ) เหมือนกัน รวมทั้งบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมด้วย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันจะมีความรู้สึกผูกพันทางสายเลือด และทางวัฒนธรรมพร้อมๆ กันไปเป็นความรู้สึกผูกพันที่ช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์ของบุคคลและของชาติพันธุ์ และในขณะเดียวกันก็สามารถเร้าอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์นับถือศาสนาเดียวกัน ความรู้สึกผูกพันนี้อาจเรียกว่า "สำนึก" ทางชาติพันธุ์ หรือชาติลักษณ์ (ethnic identity)

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาให้ความหมายชาติพันธุ์ (ethnos) ว่าหมายถึง "กลุ่มที่มีพันธะเกี่ยวข้องกัน และที่แสดงเอกลักษณ์ออกมา โดยการผูกพันลักษณาการของเชื้อชาติและสัญชาติเข้าด้วยกัน... ถ้าจะใช้ให้ถูกต้องจะมีความหมายเฉพาะใช้กับกลุ่มที่มีพันธะทางเชื้อชาติและทางวัฒนธรรม ประสานกันเข้าจนสมาชิกของกลุ่มเองไม่รู้สึกถึงพันธะของทั้งสองนี้ และคนภายนอกที่ไม่มีความเชี่ยวชาญจะไม่แลเห็นถึงความแตกต่างกัน" และพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาให้ความหมาย ชาติพันธุ์วิทยา (ethnology) ว่าหมายถึง "การพินิจศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมปัจจุบัน หรือวัฒนธรรมเดิมที่สูญหายไปของกลุ่มมนุษยชาติทั้งหลายในโลกชาติพันธุ์วิทยาอาจหมายถึงมานุษยวิทยาวัฒน-ธรรมก็ได้"
การมองว่ากลุ่มชาติพันธุ์คือกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันนั้น อธิบายได้ว่า ในระยะแรกมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มีลักษณะคล้ายครอบครัวขนาดใหญ่ เมื่อคนกลุ่มเล็กอาศัยอยู่ด้วยกัน ก็สามารถเข้าใจกันและประพฤติปฏิบัติต่อกันได้ โดยไม่มีความขัดแย้งเท่าใดนัก เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้น มีคนหลายครอบครัวอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน การดำเนินวิถีชีวิตอาจแตกต่างกันบ้าง ความคิดอาจไม่สอดคล้องกันและปัญหาเรื่องความขัดแย้งก็คงจะตามมา ฉะนั้นเมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จำเป็นต้องมีระบบระเบียบมากขึ้นต้องมีการตกลงกันว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ข้อตกลงเกี่ยวกับวิถีชีวิตการประพฤติปฏิบัติ และความคิดความเชื่อ จึงเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์และเรียกรวมๆ ว่า "วัฒนธรรม" กลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันเรียกว่าเป็นคนชาติพันธุ์เดียวกัน

วัฒนธรรม คือ ระบบสัญลักษณ์ซึ่งสมาชิกของสังคมตกลงกันว่าจะใช้ร่วมกัน ผู้ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันคือคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน มีวัฒนธรรมร่วมกันและสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การสืบทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่พ่อแม่อบรมสั่งสอนลูก ทำให้เกิดการสืบทอดชาติพันธุ์ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ วัฒนธรรมและสังคมจึงเป็นความสัมพันธ์ที่แยกออกจากกันยาก และเนื่องจากการสืบทอดทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์เป็นการสืบทอดทางชีวภาพหรือทางสายเลือดด้วยความแตกต่างระหว่างปัจจัยทางวัฒนธรรมและปัจจัยทางชีวภาพจึงแยกออกจากกันยาก และทำให้คนทั่วไปไม่คำนึงถึงข้อแตกต่างนี้ นอกจากนี้ เนื่องจากกลุ่มทางชีวภาพหรือกลุ่มเชื้อชาติครอบคลุมหลายกลุ่มชาติพันธุ์ความไม่ชัดเจนจึงอาจเกิดขึ้นได้
บางครั้งคนไทยใช้คำว่า เชื้อชาติ ในภาษาพูดทั่วๆ ไปในความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ว่า คือกลุ่มคนที่มีจุดกำเนิดของบรรพบุรุษร่วมกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณีเดียวกัน และพูดภาษาเดียวกัน ตลอดจนมีความรู้สึกในเผ่าพันธุ์เดียวกัน ตัวอย่างของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ คือกลุ่มคนจีนกลุ่มคนไทย กลุ่มคนพม่า กลุ่มคนลาว กลุ่มคนเขมร กลุ่มคนกะเหรี่ยงกลุ่มคนอินเดีย กลุ่มคนม้ง ปัจจัยสำคัญในการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์คือ ความสำนึกของคนในกลุ่มนั้นว่ามีชาติพันธุ์ใด ปัจจัยทางด้านภาษาอย่างเดียวไม่สามารถกำหนดชาติพันธุ์ได้ ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดที่สำคัญกว่า ทั้งนี้เพราะคนจีน หรือคนอินเดีย หรือคนกะเหรี่ยง มีจิตสำนึกในความเป็นคนจีน หรือความเป็นคนอินเดีย หรือความเป็นคนกะเหรี่ยง โดยคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้ต่างรวมกันโดยเชื้อชาติ สัญชาติ และชาติพันธุ์ แล้วก็มีภาษาพูดหลายภาษา คนจีนที่พูดภาษาไหหลำ กวางตุ้งและฮกเกี้ยน ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนจีน คนอินเดียที่พูดภาษาฮินดีเบงกาลี และทมิฬ ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนอินเดีย และคนกะเหรี่ยงไม่ว่าจะเป็นเผ่าโปว์หรือเผ่าสะกอ ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนกะเหรี่ยง ฉะนั้น การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์จึงขึ้นอยู่กับความสำนึกของตัวเองว่าเป็นคนกลุ่มใด
นอกจากนี้ คนบางคนยังไม่อาจจะยึดในกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ตลอดไป เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งก็มีความสำนึกอย่างหนึ่ง เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปก็มีความสำนึกอีกอย่างหนึ่งเช่น คนจีนที่เกิดในประเทศไทย และเรียนที่โรงเรียนคนไทย เมื่ออยู่ในหมู่เพื่อนที่โรงเรียนก็มักจะมองว่าตัวเองเป็นคนไทย แต่เมื่อกลับบ้านไปอยู่ในหมู่ญาติพี่น้องซึ่งพูดภาษาจีน ก็จะมองว่าตัวเองเป็นคนจีน ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เขาอาจจะมองว่าตัวเองเป็นชาวเขา หรือ "คนเมือง" (คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่พื้นราบในภาคเหนือ) หรือคนไทยก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม คนเชื้อสายกุยในประเทศไทยอาจจะเป็นคนกุย คนอีสาน หรือคนไทยก็ได้เช่นเดียวกัน
การที่คนๆ เดียวมีความรู้สึกว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด และไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือถูก แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความสำนึกในเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และไม่ถาวร เมื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีความสำนึกในกลุ่มชาติพันธุ์อย่างชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง คนกลุ่มนั้นก็มักจะเป็นคนที่มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เชื้อชาติชาติพันธุ์ และสัญชาติ สอดคล้องกัน

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

สัญญาณจากจักรวาลวิกฤตมหันตภัยล้างโลก

กลับหน้าแรก

สัญญาณจากจักรวาล “วิกฤติมหันตภัยล้างโลก"

โดย Dr.G.G.Junior http://www.universal-signal.com


มหันตภัยล้างโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่เกินอีก ๑๒ ปีข้างหน้าเป็นการเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่


ปัจจุบันนี้ ความเคลื่อนไหวของผิวเปลือกโลกแสดงการมีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วมฝนแล้ง พายุหิมะ ลมพายุ พายุฝน ไฟป่า สึนามิ และภัยพิบัติอื่นๆ นี่คือสัญญาณอันตราย ที่บ่งบอกถึงความไม่สมดุลของวัตถุโลกและพลังงาน มนุษย์ยังไม่สนใจ เพราะจิตถูกใจที่ครอบด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความรุนแรงของภัยทั้งหลายทวีความรุนแรงขึ้นในทุกขณะ และในที่สุดมหันตภัยล้างโลกก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ด้วยอัตราเร่งอย่างรวดเร็ว ตามกิจกรรมมนุษย์ที่ทำลายสมดุลแห่งธรรมชาตินั่นเอง อาการที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลก ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่เคลื่อนเข้าใกล้ของมหันตภัยนั้น เริ่มจากหลายร้อยพันล้านปี จากการที่มนุษย์สร้างพลังงานเสียต่อสภาวะแวดล้อมเพิ่มขึ้น และต่อเนื่อง ผลทำให้เกิดความไม่สมดุลขนาดหนัก เกิดขึ้นอย่างแสนสาหัสในขณะนี้ ความเลวร้ายที่มนุษย์ยัดเยียดให้กับโลก จนต้องสูญเสียสนามแม่เหล็กที่สมดุลไป การล้างโลกจึงบังเกิดขึ้นแล้วด้วยการเคลื่อนโดยที่มีอัตราเร่ง เริ่มที่ 5000 ปี (ตามพุทธกาล)

ที่ พ.ศ. 2500 เริ่มปรากฏความไม่สมดุลทั้งวัตถุและจิตของมนุษย์ รวมทั้งสัตว์ทั้งหลายดุร้ายขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างปี พ.ศ. 2500-2547 มนุษย์ทำลายธรรมชาติมาก จนกระทั่งมีผลให้ใน พ.ศ. 2547 เกิดการเร่งเวลาของมหันตภัยล้างโลกให้เคลื่อนเข้ามาเหลือเพียง 48 ปี และเหลือเพียง 24 ปี

เมื่อถึงปี พ.ศ. 2549 สุดท้ายวันนี้ คือ วันที่ 30 มกราคม 2550 สัญญาณจากจักรวาลบอกเราว่า เป็นการเริ่มนับเวลาจากนี้ไป ที่มนุษย์จะพบภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น จนประสบมหันตภัยล้างโลกในที่สุด ในเวลาอีก 12 ปีข้างหน้า คือ ประมาณต้นถึงกลางปี พ.ศ. 2562

มนุษย์ทั้งหลาย จงตื่นจากความโง่เขลา จงตื่นจากความเห็นแก่ตัว คิดแต่อยากได้ทรัพย์ หรือวัตถุ จนไม่รู้ว่าธรรมชาติจะเอาชีวิตไปในไม่ช้านี้แล้ว และพึงรักษาธรรมชาติให้สมดุล รักษาจิตให้บริสุทธิ์ร่วมกัน เพื่อลดความรุนแรงของมหันตภัย ให้เกิดน้อยลงมากที่สุด เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของโลกในเวลานี้ ผู้นำประเทศทั้งหลาย หรือผู้ใดที่มุ่งหวังอำนาจ และกระหายสงคราม จงจำไว้ว่าผู้นำเหล่านั้น หรือผู้นั้นเป็นผู้ทำลายโลกที่ร้ายกาจ


สภาพของการเกิดมหันตภัยในระยะเวลา 12 ปี สามารถแบ่งโดยความรุนแรงเป็น 3 ช่วงเวลา คือ


1. ช่วงแรก เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2550-2551 ระยะเวลา 2 ปีแรก เกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่อง ตามรอยต่อของแผ่นทวีปทั้งหมดที่แตกร้าวไปทั่วดาวดวงนี้ สัตว์ และมนุษย์มีวิธีทำร้ายกัน แบบดุร้ายป่าเถื่อนมากยิ่งขึ้น สัตว์ขนาดเล็กเตรียมปรับตัวรับวิกฤติดังกล่าวแล้ว และเตรียมปรับตัวเพื่อทำลายล้างมวลมนุษย์อีกด้วย โดยการสะสมถ่ายทอดโรค ที่ร้ายแรงมากขึ้น นอกจากนั้นทั่วโลกยังเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงกว่าเดิม และเกิดอุบัติเหตุที่แปลกๆ โดยมนุษย์หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ เช่น ระหว่างปีใหม่ ( พ.ศ. 2550) ที่ผ่านมาเครื่องบินภายในประเทศอินโดนีเซียสูญหายระหว่างบินอยู่เมืองสุราเวสี ไม่สามารถค้นพบได้จนบัดนี้ สาเหตุที่มนุษย์คาดไม่ถึง ก็คือ เกิดจุดตัดสนามแม่เหล็กโลก เกิดขึ้นบริเวณนั้นพอดี เนื่องจากความไม่สมดุล จึงดูดเอาเครื่องบินลำนี้ ออกนอกมิติของโลก เข้าสู่มิติมืดที่ว่างเปล่า หรือเป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์เข้าใจแล้วว่า เสมือนสามเหลี่ยมเมอมิวดา ในแกนกลางมหาสมุทร นั่นคือหลุมมิติในน้ำ แต่ที่จริงแล้ว ยังมีหลุมมิติในอากาศ (ที่เครื่องบินหายไปในช่องหลุมมิติ) และหลุมมิติบนพื้นโลก (ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเนื่องจากมิติซ้อนกันทำให้มองไม่เห็นกัน) เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ แต่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสมองที่มีแต่ความอยาก และความต้องการในวัตถุทั้งหลาย

2. ระยะที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2552-2556 ระยะเวลา 5 ปี โลกร้อนขึ้นด้วยอัตราเร่ง เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นมากกว่าเดิม และต่อเนื่องจนมนุษย์ทั้งโลกหวาดกลัว กลุ่มมนุษย์ที่มีจิตต่ำจะก่อกวนมนุษย์ด้วยความรุนแรงเหมือนไม่ใช่คน เกิดหลุมมิติมากมายเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อย่างที่มนุษย์คาดไม่ถึง มีการตายของมนุษย์เป็นกลุ่มใหญ่จำนวนมาก ด้วยอุบัติเหตุและภัยพิบัติ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย พื้นโลกบางส่วนยุบตัวลง เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด อากาศร้อนขึ้นอย่างมาก และอากาศหนาวก็มากขึ้นเช่นกันของแต่ละพื้นที่ จะเริ่มมีพื้นที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์น้อยลง ความแห้งแล้งมากขึ้น น้ำในทะเลยกระดับสูงขึ้นจากสาเหตุการยุบตัวของโลก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และการนำน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้สมทบด้วยอีกแรงหนึ่ง เริ่มเกิดโรคระบาดจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรียที่ผุดมาจากดินที่ไม่เคยมีมาก่อน เชื้อเหล่านี้ทนทานต่อการทำลาย เพราะปรับตัวจากที่ที่เย็นจัดหรือปรับตัวจากที่ที่ร้อนจัดจึงทนต่อสภาวะที่เปลี่ยนไป

3. ระยะที่ 3 ตั้งแต่ พ.ศ. 2557-2561 ระยะเวลา 5 ปี โลกร้อนขึ้นด้วยอัตราเร่ง พอที่จะละลายน้ำแข็งเกือบทั้งหมดของขั้วโลกทั้งสอง เกิดน้ำท่วมโลก โดยที่พื้นที่อาศัยของมนุษย์จะหายไปอย่างน้อยก็ 2 ใน 3 ส่วน ได้แก่ ที่ริมทะเลปากแม่น้ำ และที่ราบลุ่มต่างๆ คงเหลือพื้นที่ราบสูงพื้นที่บนภูเขา ซึ่งส่วนมากเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับกับการเกษตรนัก จึงเกิดการขาดแคลนอาหาร เฉพาะพื้นที่ประเทศไทยนั้นเหลือเพียงภาคเหนือ ภาคอีสาน นอกจากนั้นที่เหลือก็มีสภาพเป็นเกาะแก่งเล็กๆ สรุปได้ดังนี้ บนพื้นดินที่อยู่ตรงกลางทวีปทั้งหลาย ก็จะแห้งแล้งด้วยความร้อนจากใต้ผิวดินประทุขึ้นมา พื้นที่ที่อยู่ริมบริเวณชายฝั่ง หรือค่อนมาทางริมขอบทวีปทั้งหลาย ก็จะถูกน้ำทะเลกลืนกิน บางที่ก็จะยุบหายไป บางที่ก็จะถูกเหวี่ยงออกไปแยกตัวเป็นอิสระ มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ทั่วโลก มนุษย์จะเผชิญกับสภาพความแล้งจัด จนต้องอดตาย พบโรคใหม่กับสัตว์สายพันธุ์ดุร้าย และมีพิษ คร่าเอาชีวิตมนุษย์ทั่วไป ทั้งโลกนี้เช่นกัน จากความรู้ที่ได้รับคลื่นสัญญาณจากจักรวาลพอสรุปให้ได้ดังนี้

เริ่มต้นขึ้นที่ขณะนี้มันเกิดอะไรขึ้น เวลานี้โลกมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ใครๆ ก็รับรู้ได้บ้างแล้วว่า ตกอยู่ในสภาวะโลกร้อน มีข่าวสารที่แสดงให้มนุษย์เห็นหลายรูปแบบ จากการเฝ้าสังเกตติดตามของมนุษย์ที่สนใจในสภาวะแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของโลก จะเห็นว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายลงมามากแล้ว ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะตั้งแต่หลังเกิดเหตุสึนามิเมื่อปลายปี 2547 หลังจากนั้นมา ความเปลี่ยนแปลงของโลกก็ได้ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ มีเหตุการณ์การปรับตัวของโลก ตามจุดต่างๆ ไล่กันเรื่อยมาตลอดมา หลังเกิดสึนามิไม่นาน ก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่ปากีสถาน ใหญ่มากถึงขนาดที่ ทำให้พื้นดินสะเทือนเลื่อน เป็นคล้ายระลอกคลื่น และหลังจากนั้นเกิดต่อเนื่องกันมา หนักบ้างเบาบ้างอีกหลายๆ ครั้ง หลายๆ ครา จนในที่สุด ถ้ามนุษย์ติดตามข่าวสารจะเห็นได้ว่า เวลานี้เกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในย่านภูมิภาคแถบที่เป็นรอยต่อรอยเลื่อนทวีป แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี่แหละเป็นเขตที่เกิดบ่อยที่สุด แทบจะทุกๆ 12 ชั่วโมง ก็คือ อาณาเขตของประเทศอินโดนีเซีย แถบทะเลมูรุกะ ตามมาด้วยอาณาเขตของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน ตามมาอย่างติดๆ นอกจากนั้น ก็เกิดขึ้นประปรายตามพื้นที่ต่างๆ ในดินแดนเหล่านี้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า อยู่ใกล้น้ำอยู่ริมน้ำ เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยต่อไปข้างหน้า จะเกิดภาวะล้างโลกในรูปแบบหนึ่ง มนุษย์ที่อยู่บนภาคพื้นทวีป ก็จะมองเห็นภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป

อากาศทุกวันนี้ ไม่เหมือนกับช่วงที่ผ่านมา ความหนาวเย็นที่ปรากฏ เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของความรู้ คือ การนำความร้อนไปใช้ละลายน้ำที่ขั้วโลก มนุษย์จงนึกถึงน้ำแข็งที่อยู่ในแก้ว ตัวน้ำแข็งก็คือน้ำแข็งที่อยู่ที่ขั้วโลก เมื่อนำเอาออกมาจากเครื่องทำความเย็น อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น น้ำแข็งละลายตัวน้ำแข็งที่อยู่ในแก้ว จะดึงเอาความร้อนรอบตัว มาใช้ในการละลาย น้ำที่เราใส่ไปในแก้วนั้น จึงมีความเย็นขึ้นมาในทันที ความเย็นนั้น ลามไปถึงตัวแก้วที่บรรจุอยู่ด้วยซ้ำ มันก็เหมือนกับภาวะที่มนุษย์เจอกันอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ ใครบอกว่าโลกร้อน หนาวจะตาย โดยแท้จริงแล้วอุณหภูมิของโลกโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่เรากำลังถูกดึงดูดเอาพลังงานความร้อนไปใช้ในการละลายน้ำแข็ง เหมือนเราเป็นน้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำแข็งนั้น และสภาวะรอบน้ำแข็งนั้นไม่ใช่ช่องแข็งเสียแล้ว มันกลายเป็นอุณหภูมิธรรมดา น้ำแข็งจึงกำลังละลาย ผู้ที่สังเกตเฝ้าติดตามอยู่ นักวิทยาศาสตร์บ้าง นักภูมิศาสตร์บ้างจะถ่ายทอดข้อมูลความรู้เหล่านี้ตามข่าวสารต่าง ๆ อยู่เป็นประจำว่า ชั้นน้ำแข็งที่ขั้วโลกมีขนาดบางลง มีหน่วยวัดมาตราเป็นแบบของมนุษย์ อาณาบริเวณขั้วน้ำแข็งของโลกก็หดเข้ามาจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว

ถ้ามนุษย์มีความรู้ ตรวจดูข่าวสารอยู่เป็นประจำ ก็จะพบได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่เกินความเข้าใจของมนุษย์เลย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วทางกายภาพ เห็นมั้ย มนุษย์ทั้งหลายมันปรากฏขึ้นแล้ว ภายหลังจากที่สัญญาณจากจักรวาลได้เตือนเจ้ามาไม่นานนี้ เมื่อความร้อนกับความเย็นกระทบกัน สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาวะภูมิอากาศที่แปรปรวน ความหนาวเย็นที่มาจากขั้วโลกถูกหอบมาด้วยลมที่พัดเข้าสู่ศูนย์กลางเส้นศูนย์สูตร นำพาเอาลมเย็นมาจากทางเหนือ ระลอกแล้วระลอกเล่า เมื่อความเย็นกระทบกับความร้อนที่แถบบริเวณศูนย์สูตร ความรุนแรงของความร้อน และความเย็นที่ตัดกันทำให้เกิดพายุต่างๆ ลมมรสุมธรรมดาก็แปรสภาพกลายเป็นไต้ฝุ่น ลมมรสุมธรรมดาที่พัดเข้าหาฝั่ง ก็กลายสภาพเป็นคลื่นลมที่รุนแรง เกือบจะถึงขั้นสึนามิอยู่บ่อยๆ อย่างที่ประจักษ์แก่มนุษย์แล้ว แค่เพียงลมมรสุมที่เข้ามาธรรมดา ก็ทำลายชายฝั่งขอบหินถนนที่มนุษย์สร้างขั้น เอารถขนาดใหญ่รถบรรทุกสิบล้อวิ่งผ่านยังคงทนอยู่ได้ เจ้าพายุเหล่านี้ มีความสามารถพัดสิ่งที่เจ้าคิดว่าแข็งแรงคงทนแข็งแรงนี้ ให้พังทลายได้ ความรุนแรงของธรรมชาติที่โอบล้อมตัวเราเหล่านี้มาจากอะไร ถ้าเรามองด้วยสายตาของมนุษย์ เห็นได้ชัดทีเดียวว่า มนุษย์นั้นหละตัวทำลาย มนุษย์เป็นผู้ทำให้โลกร้อน นี่พูดแบบอย่างมนุษย์พูดกัน มองเห็นได้ พิสูจน์ได้ จับต้องได้ก็พูดอย่างนี้ อธิบายให้มนุษย์ผู้เขลาฟังอย่างนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มหัศจรรย์เกินไป ให้มนุษย์เตรียมตัวเตรียมอย่างไร มนุษย์จะต้องรู้ว่า เมื่อเหตุมาอย่างนี้แล้ว ผลจะเป็นอย่างไร

ต่อไปแผ่นทวีปที่เคลื่อนตัวก็ยังเคลื่อนตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ความร้อนภายใต้เปลือกโลก ยังดันขึ้นมาอยู่เสมอ หรือที่สุดของแรงบีบเค้นของเปลือกโลก มันอย่างนี้นะ ข้าไม่ได้สรรหาภาษาขึ้นมาเอง ข้าดึงเอาภาษาของมนุษย์มาใช้ มนุษย์เรียกมันว่า แรงเค้นของเปลือกโลก หมายถึง การชนกันและบีบอัดโดยน้ำหนักที่ทิ้งตัวและถ่วงลงไป เมื่อแรงเค้นบีบอัดจนเต็มที่แล้ว เกิดภาวะทำลาย จากแผ่นใหญ่เบียดอัดแผ่นเล็ก แตกออก หักออก

การเหวี่ยงหมุนของโลกผิดปกติเนื่องจากแผ่นทวีปแต่ละแผ่นมิใช่ผืนเล็ก เป็นผืนใหญ่ทีเดียว การเคลื่อนน้ำหนักย้ายมวลจากองศาหนึ่งไปอีกองศาหนึ่ง ทำให้โลกมีแรงเหวี่ยงหมุนที่ผิดปกติไป แม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้สัณฐานโลกผิดรูปไปจากเดิม การหมุน คือ การทำให้ตัวเองคงสภาพ อยู่ในรูปทรงกลมแป้น การหมุนจึงจัดตัวเอง จัดน้ำหนัก จัดส่วนที่เป็นของเหลว กับส่วนที่เป็นของแข็ง เหมือนกับการที่เราเขย่าอะไรให้เข้าที่โดยการหมุน จะทำให้เกิดความสมดุลขึ้น พื้นโลกบางส่วนที่บอบบางก็จะยุบลงไป พื้นโลกบางส่วนที่แข็งและเบียดกัน ก็จะดันขึ้นมากลายเป็นภูเขา น้ำก็จะท่วม ส่วนของพื้นดินที่ถูกดันเข้าไปสูง ผู้คนรอดตายจากการทำลายของน้ำ แต่ภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงความร้อนใต้พื้นผิวโลกปะทุขึ้นมา ความแห้งแล้งจึงเกิดขึ้น คนรอดตายอยู่บนที่สูงก็จะตายด้วยความอดยาก พืชพรรณธัญญาหารที่ถูกทำลายลง จะเพาะปลูกขึ้นมาอีกได้ยากหนักหนาด้วยความแห้งแล้งของผิวโลก

คนที่อยู่ตามชายฝั่งก็จะตายด้วยน้ำที่โถมทับไม่ทันตั้งตัว บางส่วนอยู่บนพื้นแผ่นดินที่ยังทรุดลงไป ก็จะถูกกลืนกินด้วยธรณี มนุษย์ที่เหลืออยู่ ก็คือมนุษย์ที่มีแรงบุญกุศลที่นำพาให้ตัวเอง มีชีวิตอยู่ได้ในโลกยุคใหม่ โลกที่มีแผ่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากทีเดียว ประเทศต่าง ๆ จะต้องวาดแผ่นที่กันใหม่ วัดอาณาเขตกันใหม่ เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่

มนุษย์เหล่านั้น อาจจะยังเหลือส่วนที่มีกรรมหนัก มีความหนักของจิตตกค้างอยู่ ยังไม่พอ การล้างโลกยังดำเนินการต่อไป ด้วยความผิดปกติของสารเคมีต่างๆ และสนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนไป ทำให้สัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป ตามแรงของสนามแม่เหล็กโลก พฤติกรรมของสัตว์ต่างๆ เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม สัตว์บางอย่างไม่เคยกินเนื้อ กินเลือด หันมากินเนื้อกินเลือด สัตว์บางชนิดได้รับสารเคมีที่ผิดปกติไป ทำให้เกิดพิษขึ้นในตัว สิ่งที่เห็นร้ายแรงที่มนุษย์จะต้องดำรงชีวิตอยู่กับพวกมันให้อยู่รอดได้ ก็คือ แมลงตัวเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงเป็นดุร้ายขึ้น ยุงก็จะนำพาเอาเชื้อโรคชนิดหนึ่งมาทำลายล้างมนุษย์ เมื่อกัด จะมีอาการตัวร้อน ร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ คนที่อ่อนแอจะตายภายใน 1 วัน อาการที่ปรากฏก็คือ เป็นไข้สูง ช็อก และหัวใจวายคนที่มีความแข็งแรง จะสามารถทนอยู่ได้ประมาณไม่เกิน 3 วัน

ส่วนแมลงอีกชนิดหนึ่งที่มีพิษที่ต้องระวังมากๆ ก็คือ ตัวลิ้นทะเล ริ้นดำ หรือที่มนุษย์ทางภาคเหนือเรียกว่า ตัวคุ่น ตัวเล็กกัดแล้วจะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นที่ผิวหนัง ต่อไปก็จะลุกลามเข้าสู่น้ำเหลือง เลือด และเข้าสู่หัวใจได้เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ถูกกัดและมีอาการจนถึงเข้าสู่หัวใจจะใช้เวลา 7 วัน

สิ่งที่ข้าเตือนสองอย่างนี้ คือ แมลงตัวนี้ กับยุง อย่าคิดว่าอีกนาน ขอให้รู้ไว้ว่า เวลานี้ ยุงได้เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองแล้ว เพียงแต่พิษยังไม่ร้ายแรงมากนักเท่านั้น แต่มันจะเปลี่ยนแปลงและสร้างตัวเองอย่างรวดเร็วทีเดียว ฉะนั้น เวลานี้ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ให้ระมัดระวังแมลง 2 ประเภทนี้ไว้ก่อน พิษเริ่มมากขึ้นกว่าปกติแล้ว อันนี้พิสูจน์ได้ เห็นได้

สิ่งที่ควรจะบอกกับมนุษย์ก็คือ ให้มนุษย์รู้ว่าการกระทำใดๆ ก็ตาม เริ่มตั้งแต่ ความคิดไปจนถึงพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้น ส่งผลในลักษณะพลังงานที่สะท้อนเชื่อมโยงกันไปทั้งหมด มนุษย์ควรรู้เรื่องกรรมดี เป็นกรรมเบาที่ช่วยปัดเป่าวิบากที่จะเกิดกับโลก อันเนื่องมาจากผลการกระทำของมนุษย์นั้น ให้เบาบางลงได้ และก็เชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักสนามพลังแห่งมนุษยชาติ และร่วมกันอย่าได้ช้า สร้างสนามพลังงานที่ดีเพื่อลดวิบากของโลก สามารถบอกกับมนุษย์ได้ว่า วิบากที่เราสร้างขึ้นนั้น กี่ภพ กี่ชาติ เราไม่สามารถเรียบเรียงได้หมด การร่วมกันสวดมนต์นอกจากจะช่วยโลกได้ ยังช่วยตัวเองได้เป็นประการแรกด้วยซ้ำ การสวดมนต์และแผ่เมตตาออกไป จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับผลอันนั้น แล้วอโหสิกรรมให้กับเรา ลด ละ เลิกการจองเวรกับเรา ใครยิ่งมีทุกข์มากยิ่งสวดมาก ยิ่งดีขึ้นเร็ว แล้วก็เป็นผลดีกับโลกไปด้วย อันนี้สามารถเชิญชวนได้แบบนี้

ใครอยากเห็นข้อพิสูจน์ให้เข้าไปดูข้อมูลที่ http://www.universal-signal.com หัวข้อ การร่วมสร้างสนามพลังแห่งธรรมชาติ

และมีข่าววิกฤติการณ์ของโลก ซึ่งจะมีข่าวสารที่นำเสนอขึ้นไปตลอดเวลา การแสดงความคิดเห็นของบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถต่าง ๆ เราจะเอามาร่วมประชุมกันไว้ในเว็บไซต์นี้ โดยพวกเราจงช่วยกันหามาให้คนได้ขึ้นไปดู จะได้เห็นได้รู้ว่าโลกนี้ที่กว้างใหญ่เขารู้อะไรกันบ้างแล้ว

มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยนั้นล้าหลังเพียงใด ตอนนี้ควรจะรับรู้และช่วยกันได้แล้ว นี่แหละวิธีการพูดของข้า..สัญญาณจากจักรวาล สอนเจ้าด้วยพลังแห่งธรรมชาติ... จงตื่นพัฒนาจิตตนและรักษาสมดุลธรรมชาติ... ก่อนที่เจ้าจะเหลือแต่จิตที่ขุ่นมัว


นาย. พชรพล. ผิวเณร. ม.5/8 เลขที่ 46